‘ดูนิ ไทยแลนด์’ แบรนด์กระดาษเช็ดปาก สัญชาติสวีเดน ทุ่ม 1,000 ล้าน ปักหมุด ฐานการผลิตในไทย สร้างสรรค์โซลูชั่นเพื่อมื้ออาหาร ดัน 3 คอนเซ็ปต์ “Go-Joy-Wow” สร้างแบรนด์พรีเมี่ยมที่ทุกโต๊ะอาหารต้องมี พร้อมเปิดตัว DUNI LETTO เร่งหนุนอุตฯ HoReCa บุกตลาดไทย และภูมิภาคเอเชีย พร้อมประกาศเป้าหมายแบรนด์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน ในวันพุธที่ 17 พฤษภาคม 2566 ณ ห้องเพรสซิเด้นท์ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนทัล
นายประวิทย์ เตชะวิจิตร์ กรรมการผู้จัดการ (CEO) บริษัท ดูนิ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตกระดาษเช็ดปากชั้นนำจากประเทศสวีเดน เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมด้านอาหาร หรือ ตลาด HoReCa (Hotels Restaurants & Catering)ในประเทศไทยมีขนาดใหญ่มาก อ้างอิงจาก สำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่าจำนวนโรงแรม 24,400 แห่งทั่วประเทศ ในจำนวนนี้เป็นโรงแรมสี่ดาวขึ้นไป ประมาณ 3,660 แห่ง หรือคิดเป็น 15%
นอกจากนี้ ความน่าสนใจในกลุ่มธุรกิจภัตตาคารและร้านอาหาร (Restaurant) ที่ทาง TTB Analytics รายงานไว้เป็นจำนวน ถึง 32,300 แห่ง โดยเป็นร้านเจาะตลาดระดับกลางและระดับบน ขณะที่ธุรกิจจัดเลี้ยง (Catering) มีข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย และการประเมินของบริษัท คาดการณ์ว่าจะมีมูลค่าตลาดที่ 850 ล้านบาทเช่นกัน ทำให้มุมมองในการขยายตลาดและลงทุนในไทยมีน้ำหนักมากยิ่งขึ้น
เมื่อพิจารณาจากศักยภาพของตลาด HoReCa ในไทยที่มีการบริโภคภายในประเทศสูงเหมาะกับการใช้เป็นฐานของธุรกิจ อีกทั้งยังเป็นจุดศูนย์กลางของภูมิภาคสะดวกในการส่งออก ซึ่งประเทศไทยมีสนธิสัญญา FTA Free Trade Agreement กับหลายประเทศทำให้มีข้อได้เปรียบในเรื่องภาษีของผู้ซื้อที่ต้องการนำเข้า อีกทั้งแรงงานในไทยมีคุณภาพสูงและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่ยังไม่สูงนัก
โดยเหตุผลของการตัดสินใจลงทุนพัฒนาพื้นที่โรงงานเพิ่มในปีนี้ มาจากการเล็งเห็นถึงโอกาสทางธุรกิจที่ขยายตัวอย่างมาก โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) ของกลุ่มชนชั้นกลางในแต่ละประเทศที่มีวิถีชีวิตและวัฒนธรรมในการรับประทานอาหารที่มีความพิถีพิถันมากขึ้น และจากความต้องการสินค้า พรีเมี่ยมที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ตลาด HoReCa โดยรวมโต 8-10% ในช่วงที่ผ่านมา
ในส่วนของแผนการลงทุนในประเทศไทย ดูนิ ไทยแลนด์ (Duni Thailand) ได้มีการลงทุนขั้นต้นในปี 2559 มูลค่า 720 ล้านบาท และเตรียมขยายพื้นที่ และกำลังผลิตอีก 300 ล้านบาท โดยแบ่งออกเป็น 2 เฟส ในส่วนเฟสแรก ดำเนินการในปี 2566 มูลค่าการลงทุน 190 ล้านบาท และ เฟสที่สอง ในปี 2567 อีก 110 ล้านบาท รวมเป็นมูลค่าการลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท
“จากการขยายกำลังการผลิตดังกล่าว ทำให้บริษัทฯ สามารถผลิตสินค้าที่มีความหลากหลาย สอดรับกับความต้องการของตลาดในอนาคต รวมถึงเพิ่มกำลังการผลิตจากปัจจุบัน 4,000 ตันต่อปี และเพิ่มเป็น 6,000-8,000 ตันในปี 2567-2568 ตามลำดับ ซึ่งการเลือกประเทศไทยเป็นฐานการผลิตและจำหน่ายให้ทั้งในไทยและประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียในครั้งนี้เป็นไปตามบิสิเนส โมเดล ( Business Model) ที่ทำสำเร็จมาแล้วในยุโรป” นายประวิทย์ กล่าว
นอกจากแผนการลงทุนและขยายกำลังการผลิตแล้ว อีกหนึ่งแผนงานที่ ดูนิ ไทยแลนด์ ให้ความสำคัญกับการตลาด การพัฒนาช่องทางจัดจำหน่าย และสร้างแบรนด์ ซึ่ง ดูนิ มีสินค้าสำหรับหลากหลายกลุ่มตลาด แบ่งได้เป็น 3 คอนเซ็ปต์หลัก (Go-Joy-Wow) และนับเป็นแบรนด์ โพสิชัน (Brand Position) ที่ชัดเจนเพื่อการสื่อสารกับกลุ่มตลาดเป้าหมายทั้งในตลาดไทย และตลาดในภูมิภาคเอเชีย ดังนี้
- Go การใช้งานแบบสะดวกราคาไม่สูง เช่น napkins ที่ใช้ในร้านอาหารแบบทานสบาย ๆ สไตล์คาเฟ่
- Joy เน้นความสวยงาม สนุกสนานสร้างอารมณ์และบรรยายกาศที่ดีของงานเลี้ยงในกลุ่มครอบครัวและเพื่อนฝูง
- Wow เน้นความหรูหรา ให้ความรู้สึก Luxury เหมาะกับ Fine Dining และร้านที่ให้ความสำคัญกับบรรยากาศร้าน และดีไซน์
โดยผลิตภัณฑ์ผ้าเช็ดปาก “ดูนิ” มีจุดเด่นที่การให้ความสำคัญกับสุขอนามัยของผู้ใช้งาน เพราะใช้เพียงครั้งเดียว ทั้งยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการทำความสะอาด ประหยัดค่าใช้จ่ายในการส่งซัก ประหยัดเวลาและค่าแรงในการพับผ้าเช็คปาก ทั้งยังมีความยั่งยืนมากกว่าเมื่อเทียบกับใช้สารฟอกขาวสำหรับผ้าลินิน หรือผ้าเช็ดปากทั่วไป รวมถึงการใช้งานที่ยืดหยุ่นสามารถปรับเปลี่ยนผ้าเช็ดปากให้เหมาะกับอีเวนต์ต่าง ๆ ได้อย่างลงตัว
สำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ Duni Letto ที่เปิดตัวในวันนี้เป็นกระดาษเนื้อผ้าสำหรับเช็ดปากใช้บนโต๊ะอาหาร โดยมีการพับเสร็จพร้อมใช้งานให้สามารถสอดมีดช้อนซ่อมให้ลูกค้าที่มาทานอาหาร ที่นอกจากความรู้สึกพรีเมี่ยมของเนื้อกระดาษ หลากหลายสีแล้ว ยังสามารถพิมพ์ลายหรือ เพิ่มข้อความเพื่อสร้างแบรนด์ให้กับลูกค้าได้ด้วย
“โซลูชั่นสินค้าของบริษัทฯ จะมีส่วนสนับสนุนและสร้างโอกาสทางธุรกิจให้ผู้ประกอบการได้ด้วย ทั้งลดต้นทุนหรือเพิ่มมูลค่าให้สินค้า รวมถึงมีส่วนเสริมภาพลักษณ์และสะท้อนตัวตนของร้าน เช่น กรณีของโรงแรมสี่ดาวขึ้นไป หรือ ร้านอาหารพรีเมี่ยม ส่วนใหญ่จะใช้ผ้าลินินในการปูโต๊ะอาหาร เพื่อเสริมภาพลักษณ์ ซึ่ง Duni Letto จะมีราคาต่อชิ้นใกล้เคียงกับต้นทุนในการทำความสะอาดผ้าที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน โดยที่ลูกค้าสามารถลดต้นทุนในการดำเนินงาน ทั้งประหยัดเวลา และแรงงานในการจัดเก็บและพับได้” นายประวิทย์ กล่าว
สำหรับทิศทางธุรกิจและกลยุทธ์การตลาด HoReCa ในไทย และภูมิภาคเอเชีย รวมถึงเป้าหมายในอนาคตนั้น ได้ให้ความสำคัญกับตลาด B2B (Business to Business) ในกลุ่มร้านอาหาร เป็นหลัก ซึ่งปัจจุบัน ดูนิ ไทยแลนด์ มีตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ และกำลังอยู่ในระหว่างแต่งตั้งตัวแทนเจาะกลุ่มเฉพาะอีกจำนวนหนึ่ง พร้อมกันนี้ในส่วนของกลุ่มสินค้าแพคเล็กจะมีการนำเข้าจำหน่ายในช่องทางโมเดิร์นเทรด เพื่อทำตลาดในส่วนของ B2C (Business to Consumer) ด้านช่องทางจัดจำหน่ายในต่างประเทศจะใช้เครือข่ายของ ดูนิ เอบี ซึ่งเป็นบริษัทแม่ พร้อมกับแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายในเมืองหลักทั่วภูมิภาคเอเชีย
นายประวิทย์ กล่าวว่า นอกจากแผนธุรกิจที่กำลังขยายทั้งในประเทศไทยและในอีกหลายประเทศนั้น ดูนิ กรุ๊ป (Duni Group) เป็นแบรนด์กระดาษเช็ดปากสัญญาติสวีเดนที่ตระหนักและดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนมาอย่างต่อเนื่อง บนมาตรฐานการผลิตจากโรงงานทั้งสองแห่งที่ประเทศเยอรมัน และโปแลนด์ รวมถึงโรงงานที่ประเทศไทยที่เป็นฐานการผลิตแห่งแรกนอกยุโรป
โดยมาตรฐานการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนนั้น มีทั้งการได้รับรองจากคณะกรรมการพิทักษ์ป่า (THE FOREST STREWARDSHIP COUNCIL :FSC) ที่ตรวจสอบผลิตภัณฑ์ที่ทำจากไม้ในป่า และมีการจัดการในลักษณะที่เหมาะสมกับสิ่งแวดล้อมเป็นประโยชน์ต่อสังคมและเป็นไปได้ทางเศรษฐกิจ พร้อมกันนี้ยังได้รับเครื่องหมายคุณภาพ THE RALจากสมาคมคุณภาพ แห่งยุโรป เพื่อให้แน่ใจว่าการเผาไหม้ของได้สะอาด ไม่มีสารที่เป็นอันตราย ไม่เสียรูป ปลอดภัย และเชื่อถือได้
ฉลาก OK COMPOST ที่ผ่านการรับรองจาก TUV Austria ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสำหรับการทำปุ๋ยหมัก และตรงตามมาตรฐานยุโรป EN13432 ผลิตภัณฑ์สามารถนำไปทำปุ๋ยหมักในสวนที่บ้านได้ นอกจากนี้ยังมี NORDIC SWAN ECOLABEL มาตรฐานที่ตอกย้ำถึงการเป็นผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดในตลาดจากมุมมองที่เป็นมิตรด้านสิ่งแวดล้อม ตัวอย่างเช่น เป็นการยืนยันว่าเป็นวัสดุหมุนเวียน 90 % และลดการปล่อยฝุ่นควัน
“การรับรองอย่างมั่นใจผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ดูนิ ผ่านการรับการรับรองด้านสิ่งแวดล้อมและคุณภาพที่หลากหลาย เน้นย้ำถึงความยั่งยืนและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ที่ให้ความสำคัญกับปัญหาสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อม” นายประวิทย์ กล่าว
โดยบริษัทฯ มีแผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero ให้ได้ในปี 2573 ซึ่งในปี 2566 ทางบริษัทฯ สามารถบรรลุเป้าหมายการลดคาร์บอน (Carbon) ได้เป็นผลสำเร็จ พร้อมกับตั้งเป้าหมายในปี 2568 สินค้ากระดาษของดูนิ จะสามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ และผลิตตามการควบคุมของ FSC (Forest Stewardship Council) สร้างความมั่นใจได้ว่า ทุกการใช้สินค้าของดูนิ ป่าไม้ได้รับการฟื้นฟูและปลูกทดแทนเป็นอย่างดี เพื่อสร้างสมดุลให้กับสภาพภูมิอากาศของโลก