“ออมรอน เฮลธแคร์” เดินหน้าขับเคลื่อนโครงการรณรงค์วัดความดันโลหิต ซึ่งเป็นเดือนแห่งการวัดความดันโลหิต (May Measurement Month : MMM) ภายใต้แคมเปญตรวจคัดกรองความดันโลหิตที่ใหญ่ที่สุดในโลก ดำเนินการโดย International Society of Hypertension พร้อมส่งมอบเครื่องวัดความดันโลหิตให้สมาคมความดันโลหิตสูงแห่งประเทศไทย เพื่อเพิ่มความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคความดันโลหิตสูงด้วยการช่วยให้ผู้คนได้รับการวัดความดันโลหิตฟรี และร่วมรณรงค์ดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง ทางสมาคมฯ เผยตัวเลขอัตราผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปี 2566 ข้อมูลสุขภาพกระทรวงสาธารณสุขระบุประเทศไทยมีผู้ป่วยจากโรคความดันโลหิตสูงรายใหม่ จำนวน 507,104 คน ซึ่งมีปัจจัยทั้งภาวะความเครียดสูงจากการทำงาน การดำเนินชีวิต ซึ่งเป็น ภัยเงียบที่ส่งผลกระทบทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม “ออมรอน เฮลธแคร์” หวังสร้างความตระหนักและร่วมรณรงค์เติมความรู้ดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง
นายยูซุเกะ กาโตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออมรอน เฮลธแคร์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำด้านผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพจากประเทศญี่ปุ่นและผลิตภัณฑ์ตรวจวัดความดันโลหิตที่บ้าน กล่าวว่า เดือนพฤษภาคมของทุกปีเป็นเดือนแห่งการวัดความดันโลหิต (May Measurement Month : MMM) ซึ่งเป็นแคมเปญตรวจคัดกรองความดันโลหิตระดับโลกที่ดำเนินการโดย International Society of Hypertension เพื่อเพิ่มความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคความดันโลหิตสูงด้วยการช่วยให้ผู้คนได้รับการวัดความดันโลหิตฟรี ทางออมรอนจึงได้จัดทำโครงการฯ โดยได้บริจาคเครื่องวัดความดันโลหิตให้กับสมาคมความดันโลหิตสูงแห่งประเทศไทยอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 เพื่อรณรงค์และช่วยให้คนไทยเข้าถึงการตรวจวัดความดันที่ถูกต้อง แม่นยำและอยากเน้นให้คนไทยได้ #วัดความดันทุกวันเพื่อรู้ทันโรคร้าย รวมทั้งเก็บข้อมูลผลการสำรวจนำมาวางแผนการดูแลสุขภาพของคนไทย
“ออมรอน เฮลธแคร์ มีเป้าหมายสนับสนุนโครงการฯ หวังเป็นหนึ่งกระบอกเสียงเพื่อช่วยผลักดันให้คนไทยได้ตระหนักต่อภัยใกล้ตัว คือ โรคความดันโลหิตสูง เพราะคนไทยส่วนใหญ่ยังคิดว่าโรคความดันโลหิตสูงเป็นโรคที่ไม่ร้ายแรง แต่ในยุคปัจจุบันจากวิถีการดำเนินชีวิต การทำงานที่เร่งรีบ ความเครียดที่มากขึ้นส่งผลให้คนไทยเป็นโรคความดันโลหิตสูงมากขึ้น และมีแนวโน้มของกลุ่มเสี่ยงมีอายุที่ลดลงกว่าที่ผ่านมา ดังนั้นในฐานะผู้พัฒนานวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ตรวจวัดความดันโลหิต ขอร่วมรณรงค์ให้คนไทยตรวจวัดความดันด้วยตัวเอง เพราะจะช่วยให้ติดตามสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด เนื่องจากภาวะความดันโลหิตสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดหลายชนิด เช่น โรคหัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมอง และโรคไตเสื่อม การตรวจความดันโลหิตด้วยตัวเองเป็นประจำ ช่วยให้คุณทราบถึงระดับความดันโลหิตและแจ้งเตือนสัญญาณอันตรายได้เร็ว อีกทั้งการตรวจวัดความดันโลหิตด้วยตัวเอง ช่วยให้ติดตามผลการรักษาและประสิทธิภาพของยา ช่วยให้แพทย์ผู้รักษาสามารถปรับยาและวางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสม ดังนั้นคนไทยควรวัดความดันโลหิตสม่ำเสมอ เพื่อรู้ทัน โรคร้าย” นายยูซุเกะ กาโตะ กล่าวร
รศ. พญ. วีรนุช รอบสันติสุข หัวหน้าสาขาวิชาความดันโลหิตสูง ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลและกรรมการสมาคมความดันโลหิตสูงแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ทางสมาคมฯ ขอขอบคุณทางออมรอน เฮลธแคร์ ที่ได้จัดทำโครงการฯ ซึ่งประเทศไทยดำเนินการมาเป็นปีที่ 4 แล้วโดยครั้งแรกจัดทำขึ้นเมื่อปี 2563 ท่ามกลางการระบาดของโรคโควิด19 สมาคมฯ ได้ข้อมูลต่างๆ นำมาวางแผนเชิงระบบเพื่อให้การรักษาให้ครอบคลุมและพัฒนาจากที่ผ่านมา โดยพัฒนาการบริการให้สามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นระบบให้บริการทางไกลสำหรับคนไข้ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลและคนไข้ที่มีความเสี่ยงต่ำโดยมีพยาบาลหรือเภสัชกรให้คำปรึกษาเบื้องต้น เพื่อลดความถี่ในการพบแพทย์ ปัจจุบันการวัดความดันโลหิตด้วยตนเองที่บ้านนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยประชาชนทั่วไปสามารถซื้อเครื่องวัดความดันโลหิตที่ได้มาตรฐานสำหรับใช้วัดความดันโลหิตด้วยตนเองที่บ้านและวัดให้สมาชิกในครอบครัวด้วย
“หลักการสำคัญ คือ ประชาชนทุกคนควรทราบระดับความดันโลหิตของตนเองและทราบว่าเมื่อใดควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษา หากผลการวัดพบว่าความดันโลหิตมากกว่าหรือเท่ากับ 140/90 มม. ปรอทถือว่ามีความดันโลหิตสูง ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการประเมินและติดตามรับการรักษาอย่างเหมาะสม ในยุคปัจจุบันสถานพยาบาลมีการปรับกระบวนการให้ง่ายและเร็วขึ้น เช่น ในรายที่ความเสี่ยงต่ำและอาการคงที่แล้วแพทย์อาจพิจารณาให้พยาบาลและเภสัชกรโทรสอบถามข้อมูลให้คำปรึกษาแก่ผู้ป่วย หากไม่มีปัญหาใดๆ จะจัดส่งยาให้ทางไปรษณีย์ หรือผู้ป่วยเข้ารับยาภายหลังที่โรงพยาบาลได้ ซึ่งทางโรงพยาบาลศิริราชได้ เริ่มดำเนินการเพื่อลดความแออัดในโรงพยาบาล ลดการเดินทางทำให้คนไข้ได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น ได้รับบริการที่เร็วขึ้น ทำให้การยอมรับการรักษาของคนไข้ดีขึ้น” รศ. พญ. วีรนุช รอบสันติสุข กล่าว
ที่ผ่านมาผลสำรวจผู้ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงในประเทศไทย ช่วงปี 2547 และ 2552 จะอยู่ที่ 21 เปอร์เซ็น ด้วยลักษณะสังคมที่เปลี่ยนไปจากเดิมมาสู่สังคมเมืองที่ส่งผลให้เกิดความเครียดสูงขึ้น การรับประทานอาหารที่มีรสชาติเค็ม ประชาชนมีภาวะอ้วนมากขึ้น ส่งผลให้แนวโน้มประชาชนเป็นโรคความดันโลหิตสูงเพิ่มมากขึ้น โดยช่วงปี 2557 เพิ่มขึ้นเป็น 25 เปอร์เซ็นและปี 2563 เพิ่มขึ้นเป็น 25.4 เปอร์เซ็น ถึงแม้ตัวเลขสถิติผู้ป่วยฯ จะเพิ่มขึ้นไม่มากแต่เมื่อเทียบกับจำนวนประชากรไทยทั้งหมด ที่เพิ่มขึ้น 1 เปอร์เซ็นเท่ากับประชากรป่วยเป็นโรคความดันโลหิตเพิ่มขึ้นประมาณ 100,000 คน ซึ่งถือว่ามากเมื่อเปรียบเทียบกับ 20 ปีที่ผ่านมามีคนไทยที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงประมาณ 10 ล้าน และปัจจุบันมีผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นเป็น 14 ล้านคน แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นทุกปี
อย่างไรก็ตามข้อน่ากังวลวันนี้ คือ ประชาชนขาดความตระหนักถึงความสำคัญของการวัดความดันโลหิตด้วยตนเองเป็นประจำทำให้ผู้ป่วยบางรายไม่รู้ตัวว่าป่วย ซึ่งจากผลสำรวจผู้ป่วยที่กล่าวมาข้างต้นจำนวน 14 ล้านคนจะมีผู้ที่รู้ตัวว่าป่วยเพียง 50 เปอร์เซ็นจากผลสำรวจเท่านั้น และเนื่องจากโรคความดันโลหิตสูงส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการทำให้ผู้ที่ป่วยอีก 50 เปอร์เซ็นไม่ได้เข้ารับการรักษา และผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษามีเพียงครึ่งหนึ่งที่สามารถควบคุมค่าความดันได้ตามเป้า ซึ่งปัจจุบันค่าความดันโลหิตปกติจะไม่เกิน 140 / 90 มิลลิเมตรปรอท และหากวิเคราะห์ผลกระทบของการมีผู้ป่วยความดันโลหิตสูงในประเทศไทยจำนวนมาก ในแง่สังคมและเศรษฐกิจ หากละเลยจะทำให้ประเทศไทยมีผู้ป่วยความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจอย่างแน่นอน เนื่องจากการรักษาโรคความดันโลหิตสูงแพทย์จะทำการนัดผู้ป่วยทุก 4-6 เดือนเพื่อรักษาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ป่วยต้องลางานไปพบแพทย์ซึ่งอาจทำให้ธุรกิจหยุดชะงักและประชาชนมีค่าใช้จ่ายในระหว่างการรักษาทั้งค่ายา ค่าเดินทาง และอื่นๆ เกิดภาวะเครียดจากการอาการป่วย เป็นต้น
ถึงแม้ว่าผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงส่วนใหญ่มักไม่มีอาการ ในมุมมองของผู้ป่วยที่ยังไม่แสดงอาการจึงเข้าใจว่าตนสบายดีจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพบแพทย์และทานยาเนื่องจากกังวลว่าการทานยาโดยไม่มีความจำเป็นจะเกิดผลข้างเคียงและมีผลต่อสุขภาพในระยะยาว ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด และถึงแม้ว่าโรคความดันโลหิตสูงจะเป็นโรคที่รักษาได้แต่ไม่หายขาด มีเพียง 5-10 เปอร์เซ็นเท่านั้นที่รักษาหายขาด โรคความดันโลหิตสูงแม้จะไม่แสดงอาการใดๆ แต่หากปล่อยทิ้งไว้จะส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว ทำให้เกิดหลอดเลือดตีบเป็นสาเหตุให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบหรือโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต มีผลต่อหลอดเลือดหัวใจทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจและภาวะหัวใจวายเป็นหลักและส่งผลให้เกิดภาวะไตวาย สุดท้ายเมื่ออวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายเสียหมดผู้ป่วยจะเสียชีวิต หรือในกรณีผู้ป่วยอยู่ในระยะที่เกิดภาวะแทรกซ้อนการรักษาจะยากขึ้น และต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้คุณภาพชีวิตของประชากรลดลง ซึ่งปัญหาเหล่านี้จะทำให้เกิดผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจ”
นอกจากนี้ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณะสุขและสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2550-2562 ระบุว่าอัตราการเสียชีวิตของคนไทยที่เกิดจากภาวะไตวาย โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง หรือภาวะเลือดออกในสมอง มีจำนวนเพิ่มขึ้น บางสาเหตุเพิ่มขึ้นถึง 100 เปอร์เซ็น สำนักงานสถิติแห่งชาติรายงานว่าสาเหตุการเสียชีวิตจากโรคความดันโลหิตสูงและภาวะเลือดออกในสมองจากประมาณ 30 รายเพิ่มขึ้นเป็น 50 ราย ต่อประชาชน 100,000 ราย ซึ่งถือเป็นการเพิ่มขึ้นที่สูง ทำให้ภาพรวมเกี่ยวกับสถานการณ์โรคความดันโลหิตสูงในประเทศไทยไม่ดีนัก
ทางสมาคมความดันโลหิตสูงแห่งประเทศไทยมีความตระหนักเล็งเห็นถึงผลสำรวจที่มีอัตราผู้ป่วยเพิ่มขึ้นและเป็นไปในทิศทางที่ไม่ดี สมาคมฯ จึงได้พยายามสร้างองค์ความรู้ให้แก่แพทย์เดิมมุ่งเป้าไปที่อายุรแพทย์ แต่เนื่องด้วยจำนวนอายุรแพทย์ในประเทศไทยมีจำนวนไม่เพียงพอ เมื่อเทียบกับจำนวนผู้ป่วยที่มากขึ้น จึงมีการขยายองค์ความรู้ให้กับแพทย์ด้านอื่นทั้งแพทย์ทั่วไป แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว หรือแพทย์ด้านอื่นที่ดูแลผู้ป่วยนอก โดยให้ความรู้เกี่ยวกับเทคนิคและเครื่องมือเทคโนโลยีในการตรวจวัดความดันโลหิตแบบใหม่ๆ และทันสมัย ให้ความรู้เกี่ยวกับยาชนิดใหม่ที่รวมตัวยาหลายชนิดไว้ใน 1 เม็ดสำหรับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงเนื่องจากผู้ป่วยส่วนใหญ่จะต้องทานยามากกว่า 1 ชนิดขึ้นไป เพื่อลดจำนวนเม็ดยาที่ต้องรับประทาน ซึ่งในปัจจุบันมียาที่สามารถรวมยา 2-3 ชนิดไว้ในเม็ดเดียววางขายอยู่ในท้องตลาดและราคาไม่สูงมากนักข้อมูลในต่างประเทศชัดเจนว่าในการใช้ยาลักษณะนี้จะทำให้ผู้ป่วยรับประทานยาง่ายขึ้น การยอมรับการรักษาทานยาและการลืมทานยาน้อยลง
นอกจากนี้ทางสมาคมฯ ยังทำงานเชิงรุกในภาคประชาชนโดยการทำงานร่วมกับภาคเอกชน มีการจัดทำเฟซบุ๊คเพจ “เพราะความดันต้องใส่ใจ #BecauseIsayso” เพื่อให้ความรู้แก่ประชาชนที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงทำให้ประชาชนสามารถศึกษาเพิ่มเติมด้วยตนเอง มีการให้สัมภาษณ์หรือเขียนบทความให้ความรู้แก่ประชาชน รวมถึงการจัดงานวันความดันโลหิตสูงโลก ซึ่งตรงกับวันที่ 17 พฤษภาคมของทุกปี มีการจัดกิจกรรมเสวนาให้ความรู้แก่ประชาชนในโรงพยาบาลต่างๆ และเวทีแลกเปลี่ยนความรู้จากผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรคความดันโลหิตสูงในแง่มุมต่างๆ เพื่อประชาสัมพันธ์แก่ประชาชนและแพทย์ได้รับฟัง
สุดท้ายอยากฝากถึงโครงการตรวจคัดกรองความดันโลหิตสูง (May Measurement Month) ซึ่งสมาคมความดันโลหิตสูงแห่งประเทศไทยร่วมมือกับสมาพันธ์ความดันโลหิตโลกทำงานรณรงค์ร่วมกันทุกปีในเดือนพฤษภาคม ปีนี้เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงเดือนกรกฎาคม ทางสมาคมฯ ขอความร่วมมือสำหรับผู้ที่มีเครื่องวัดความดันโลหิตอยู่ที่บ้าน หากมีความยินดีและสนใจให้ความร่วมมือกับทางสมาคมฯ เพื่อเก็บข้อมูลความดันโลหิตนำไปใช้ในการวิจัย สามารถ scan QR code เพื่อร่วมตอบแบบสอบถามสั้นๆ และรายงานผลความดันโลหิตของตนเองหรือสมาชิกในครอบครัว จำนวน 3 ครั้ง ซึ่งหากท่านใดวัดความดันโลหิต 3 ครั้งมีค่าเฉลี่ยมากกว่าหรือเท่ากับ 140/90 มิลลิเมตรปรอท ถือว่าท่านอยู่ในเกณฑ์ความดันโลหิตสูง ขอแนะนำให้ท่านเข้ารับการรักษา ณ สถานพยาบาลที่ท่านสะดวก นอกจากนี้ยังขอส่งมอบความรู้และคำแนะนำสำหรับผู้ที่มีแนวโน้มจะเป็นโรคความดันโลหิตสูงก็จะแนะนำเรื่องของการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและแนะนำเข้าสู่กระบวนการรักษาติดตามที่เหมาะสมต่อไป
แนวทางการปฏิบัติสำหรับผู้ที่มีแนวโน้มจะเป็นโรคความดันโลหิตสูง มีดังนี้
1.การหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเค็มหรือลดการกินเค็ม
2.ไม่ทานเยอะจนเกินไปจนเกิดโรคอ้วน รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์
3.ไม่สูบบุหรี่
4.ไม่ดื่มสุรา หรือหากดื่มควรจำกัดปริมาณ
5.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
6.จัดการความเครียด และ
7.ผู้ใหญ่อายุ 18 ปีขึ้นไปควรตรวจวัดความดันโลหิตตนเอง หากค่าความดันโลหิตสูงเกินเกณฑ์ที่กำหนดควรพบแพทย์เพื่อเข้าสู่กระบวนการรักษา หรือได้รับการประเมินที่ถูกต้อง สำหรับระดับความดันโลหิต เหมาะสม <120/80 เริ่มสูง 120-139/80-89 เป็นโรคความดันโลหิตสูง >140/90 มม.ปรอท