บริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด เปิดตัวโครงการ Flexible Plus Program ดึงชาวต่างชาติที่มีคุณภาพและมีกำลังซื้อสูงเข้ามาลงทุนในประเทศไทย กระตุ้นกระแสเงินหมุนเวียน ฟื้นเศรษฐกิจไทยจากผลกระทบจากโควิด-19
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ในฐานะประธานกรรมการ บริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด เปิดเผยว่า จากการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2564 มีมติเห็นชอบหลักการในการลงทุนภายใต้โครงการ Flexible Plus Program โดยกำหนดเงื่อนไขและให้สิทธิ์ในการทำงานแก่ผู้ถือบัตรสมาชิกพิเศษ Thailand Privilege Card เพื่อเป็นการกระตุ้นให้นักลงทุนชาวต่างชาติมาลงทุนในประเทศไทย และเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2565 ราชกิจจานุเบกษา ได้ออกประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวซึ่งได้รับบัตรสมาชิกพิเศษ (Thailand Privilege Card) อยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษเพื่อการทำงาน โดยอนุญาตให้คนต่างด้าวซึ่งได้รับบัตรสมาชิกพิเศษเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษเพื่อการทำงานภายใต้โครงการ Flexible Plus Program เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติและเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
นักลงทุนต่างชาติที่สามารถเข้าร่วมโครงการ Flexible Plus Program ได้แก่ สมาชิก Thailand Privilege Card (บัตร Thailand Elite) ที่มีอายุบัตรตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป สำหรับสมาชิกเดิมต้องมีอายุสมาชิกบัตรคงเหลือไม่ต่ำกว่า 5 ปี ประเภทของบัตรสมาชิกต้องมีมูลค่าตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป ประกอบด้วย Elite Ultimate Privilege, Elite Superiority Extension และ Elite Privilege Access โดยมีมูลค่าการลงทุนรวมไม่ต่ำกว่า 1 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ภายในเวลา 1 ปี หลังจากแจ้งความประสงค์เข้าร่วมโครงการหรือนับตั้งแต่วันที่ได้รับอนุมัติให้เป็นสมาชิกบัตร โดยมีการลงทุนในประเทศไทยภายใต้ 3 ประเภทที่กำหนด คือ 1. การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ตามสิทธิที่ชาวต่างชาติพึงได้รับ 2. การลงทุนในบริษัทจำกัดและบริษัทจำกัดมหาชน 3. การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ (หรือหน่วยงานลงทุนที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์) ซึ่งกลุ่มเป้าหมายของโครงการฯ ส่วนใหญ่ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น อังกฤษ ฮ่องกง รัสเซีย ฝรั่งเศส อเมริกา สิงคโปร์ เป็นต้นทั้งนี้โครงการ Flexible Plus Program จะทำการประชาสัมพันธ์โครงการฯ ผ่านสำนักงาน ททท. และหน่วยงานของภาครัฐในต่างประเทศ ควบคู่กับการทำตลาดออนไลน์ไปสู่กลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งตัวแทนจำหน่ายทั้งหมด 27 ราย ครอบคลุมตลาดเอเชีย และ อเมริกา โดยมีเป้าขยายตัวแทนจำหน่ายในทวีปยุโรปภายในปีนี้
นายยุทธศักดิ์ กล่าวว่า ในปี 2565 โครงการ Flexible Plus Program จะช่วยเพิ่มแรงจูงใจให้ชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ก่อให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนทางด้านเศรษฐกิจ สร้างบรรยากาศการลงทุนให้คึกคักขึ้น ตามแผนการฟื้นฟูเศรษฐกิจภายหลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ของรัฐบาล นอกจากผลประโยชน์ทางตรงแล้ว กลุ่มชาวต่างชาติและผู้ติดตามที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย ยังมีการใช้จ่ายด้านอื่น ๆ อันเป็นผลประโยชน์ทางอ้อม อาทิ การท่องเที่ยว ที่พัก ร้านอาหาร การซื้อสินค้าที่มีมูลค่าสูง ฯลฯ ซึ่งคาดว่าจะช่วยส่งผลต่อเศรษฐกิจในภาพรวม
“ประเทศไทย เป็นประเทศที่มีการเจริญเติบโตด้านเศรษฐกิจที่น่าสนใจ มีบรรยากาศการลงทุนที่ดี มีความคล่องตัวในการลงทุน และการใช้ชีวิตที่สะดวกสบาย อีกทั้งยังมีเสน่ห์ทางด้านวัฒนธรรม จึงเป็นเหตุผลให้ชาวต่างชาติยังคงนิยมเข้ามาลงทุนในประเทศไทย โครงการ Flexible Plus Program จะช่วยเพิ่มแรงจูงใจ และเพิ่มสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนให้กับสมาชิก Thailand Privilege Card ซึ่งเป็นบัตรสมาชิกที่นำเสนอสิทธิพิเศษในการใช้ชีวิตในประเทศไทยด้วยบริการเหนือระดับ กระตุ้นให้ชาวต่างชาติตัดสินใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น”
นายฉันทลักขณ์ ฮีสวัสดิ์ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบัน จำนวนสมาชิก Thailand Privilege Card มีจำนวนกว่า 16,000 คน และมีเป้าหมายเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยสิทธิประโยชน์ที่ผู้เข้าร่วมโครงการ Flexible Plus Program จะได้รับพร้อมสิทธิพิเศษของบัตรแต่ละประเภท คือ การเปลี่ยนประเภทวีซ่า จากวีซ่าประเภทอยู่ชั่วคราวเป็นพิเศษ (PE Visa) เป็นวีซ่าธุรกิจและการทำงาน (Non-B Visa) และใบอนุญาตทำงานในประเทศไทย (Work Permit) 5 ปี และให้สิทธิ์สำหรับผู้ติดตาม ซึ่งเป็นคู่สมรสและบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายอายุไม่เกิน 20 ปี สูงสุดไม่เกิน 3 คน สามารถขอเปลี่ยนประเภทการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษ (Non Immigrant Visa) มีอายุการใช้งานการตรวจลงตราเป็นเวลา 5 ปี อีกทั้งยังสามารถใช้สิทธิประโยชน์ร่วมกับบัตรหลักได้
ทั้งนี้ ผู้ร่วมโครงการฯ จะต้องรายงานตัว และแสดงเอกสารหลักฐานการลงทุนให้แก่ บริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด เป็นประจำทุก ๆ ปี ตลอดระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันที่เริ่มต้นการลงทุน